วันหนึ่งเราเดินไปที่ชั้นวางหนังสือเพื่อที่จะเลือกหยิบนิยายสยองขวัญขึ้นมาอ่าน
สายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ปล่อยวางอย่างเซน”
ในใจก็คิดว่า มันอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เป็นไปได้ว่า ไปเจอในกองหนังสือที่โดนโยนทิ้ง
สมัยเมื่ออยู่อพาร์ทเม้นท์เก่าแล้วก็หยิบมาด้วยความละโมภด้วยเห็นว่าเป็นของฟรี
และด้วยลักษณะนิสัยของตัวเอง บอกได้เลยว่า ตอนที่หยิบมานั้นคงจะคิดประมาณว่า
เออ มีไว้ประดับชั้นหนังสือบ้างก็ดีนะ คนจะได้มองว่าเราดูฉลาด ธรรมะธรรมโม
ไม่เคยคิดจะหยิบมาอ่านเลยจริงๆ ให้ตาย เอาเวลาไปดู True Blood ให้หนำใจดีกว่า
พอได้อ่านแล้ว บอกได้เลยว่า ยิ่งกว่าเก็บทองได้เสียอีก
แล้วก็รู้สึกขอบคุณอารมณ์เวิ่นเว้อของตัวเองในขณะนั้นที่เลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
ทุกบท ทุกตอน ทุกบรรทัด อ่านแล้วถึงขั้นตบเข่าฉาด
นี่มันตัวเราชัดๆนี่หว่า นี่มันความคิดเราที่ไหลผ่านเข้ามาแต่ไม่เคยได้สำเนียกที่จะเก็บมาขบคิด
ไม่น่าล่ะ ชีวิตเราถึงได้ยุ่งเหยิงพันตูขนาดนี้ เพราะแบกอะไรต่อมิอะไรไว้เยอะแยะไปหมด
ขอขอบคุณผู้ใดก็ตามที่โยนหนังสือเล่มนี้ทิ้ง
เขาคนนั้นอาจจะบรรลุในสิ่งที่หนังสือเล่มนี้พยายามบอกไว้ก็ได้
ปล่อยวาง ปล่อยมันไปเถอะ ทิ้งมันไปเลย เพราะสุดท้ายมันก็คือ ตัวอักษรยึุกยือที่เรียงร้อยอยู่ในกระดาษเท่านั้น
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การเรียนรู้ที่เรียงร้อยอยู่ในหัวต่างหาก
ตัวอย่างตอนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้
ชีวิตคือการเรียนรู้ ปราชญ์เคยว่าไว้อย่างนี้
แต่บางคนก็ว่าชีวิตคือการต่อสู้ – ศัตรูคือยากำลัง ก็ไม่ผิด แต่จะต่อสู้หรือไม่ก็ตาม เราก็ต้องเรียนรู้กันจนตลอดอายุขัย
เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ทั้งด้านกายภาพ ด้านจิต และด้านจิตวิญญาณไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ขงจื้อ กล่าวว่า เดินกันมา 3 คน ต้องมีคนหนึ่งเป็นครูของฉันได้แน่นอน – เป็นพยานเน้นความสำคัญของการเรียนรู้ได้ดีเรื่องหนึ่ง
และท่านยังได้สรุปว่าความรู้ที่แท้คือ เมื่อรู้ก็รู้ว่ารู้ เมื่อไม่รู้ก็รู้ว่าไม่รู้ นี่แหละคือความรู้ที่แท้ละ
โสกราตีส นักปราชญ์ชาวกรีกสมัยโบราณผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวว่า การรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรนั้นเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และ คนที่รอบรู้ที่สุดจะบอกว่าเขาไม่รู้อะไรเลย
แต่ปัจจุบันนี้เราจะพบคนประเภทหนึ่งที่เข้าใจอยู่ว่าตัวของเขานั้นรู้ทุกเรื่อง รอบรู้ไปสารพัด ไอ้นั่นฉันก็รู้ ไอ้นี่ฉันก็รู้ ฯลฯ
แม้บางเรื่องจนใจจริงๆ ต้องถามคนอื่นเขา แต่พอเขาอธิบายได้เพียง 2 – 3 คำ ก็คอยหาจังหวะสอดแทรกว่า “ฉันรู้แล้ว ฉันรู้แล้ว” อยู่เสมอ
คนพวกนี้จะถูกกักขังอยู่ในคุกแห่งอวิชชาตลอดกาล (อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้) เพราะสิ่งที่เขาอวดโอ่ว่ารู้ๆ นั่นแหละ
พอตรวจสอบเข้าอย่างจริงจังก็เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
แต่อย่างไรก็ตาม อาจารย์เซนก็มีเมตตาธรรมสูงพอที่จะอดทนอดกลั้นได้ต่อคนพวกนี้
และพยายาม “เปิดดวงตาแห่งธรรม” ของพวกเขาเหล่านี้ให้ได้เสมอๆ
ครั้งหนึ่งในรัชสมัยราชวงศ์เมจิ ท่านอาจารย์นัน – อิน แห่งนิกายเซนได้ต้อนรับอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้มีชื่อเสียงปราดเปรื่องคนหนึ่ง
ซึ่งเดินทางมาเพื่อถามปัญหาเกี่ยวกับเซน ท่านอาจารย์ได้จัดรินน้ำชาเพื่อเลี้ยงอาคันตุกะผู้มีเกียรตินั้นด้วยตนเอง
ท่านรินน้ำชาลงถ้วยจนเต็มแล้วล้นไปๆ แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดจนอาจารย์มหาวิทยาลัยคนนั้น ซึ่งเฝ้ามองดูอยู่ด้วยความแปลกใจ ทนอยู่
ไม่ได้รีบกล่าวท้วงขึ้น
“ล้นแล้วท่านอาจารย์ ใส่ลงไปอีกไม่ได้แล้ว !”
“ท่านเองก็เหมือนถ้วยนี่แหละ” ท่านอาจารย์ตอบ
“ก็ในเมื่อสมองของท่านเต็มไปด้วยความคิดเห็นและทฤษฎีต่างๆ ออกมากมายอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะอธิบายเรื่องเซนให้เข้าใจได้อย่างไร หากท่านไม่ทำให้ถ้วยของท่านว่างลงเสียก่อน”
…โปรดหามาอ่านเถิด ขอแนะนำ 80 บาทเอง